วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557

กีฬาเพื่อสุขภาพ




เล่นกีฬาเทนนิสเพื่อสุขภาพ กีฬาเทนนิสกีฬาเทนนิส เป็นกีฬาที่สามารถเล่นในร่มหรือเล่นกลางแจ้งก็ได้ ซึ่งมีผู้เล่นสองคนในการแข่งขันประเภทเดี่ยว และสี่คนในการแข่งขันประเภทคู่ โดยใช้ไม้เทนนิสตีส่งลูกโต้กันไปมาเหนือตาข่ายให้อยู่ภายในบริเวณเส้นที่กำหนดเอาไว้ โดยทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถรับลูกได้ เมื่อลูกตกในบริเวณของฝ่ายใดก็เป็นอันว่าเสียคะแนนให้อีกฝ่ายนั่นเอง อุปกรณ์ที่ใช้เล่นกีฬาชนิดนี้ก็ไม่มีอะไรมาก มีเพียงไม้เทนนิส ลูกเทนนิส ชุดกีฬา(หมวกและรองเท้า)และครีมกันแดด(สำหรับคนที่กลัวดำนะจ๊ะ) ส่วนกติกาการนับคะแนนของกีฬาชนิดนี้ จะแบ่งออกเป็นเซต ซึ่งแต่ละเซตจะนับเป็นเกม เริ่มต้นด้วยคะแนน 0 – 0 จะนับคะแนนไปเรื่อยๆ เริ่มจาก 0-15 หรือ 15-0 โดยขานคะแนนของฝ่ายส่งลูกก่อน ตามด้วย 30 และ 40 ถ้าคะแนนเสมอกัน 40-40 เรียกว่า “ดิวซ์”หากใครทำคะแนนสองแต้มติดต่อกันจะเป็นผู้ชนะในเกมนั้น และใครได้ 6 เกมก่อนจะเป็นผู้ชนะในเซต หากเสมอกัน 6-6 เกม ต้องแข่งขันกันในไทเบรก (tie-break) นับแต้ม 1, 2, 3, … ใครได้ 7 แต้มก่อนเป็นฝ่ายชนะในเซตนั้นๆและนับจำนวนเซตในการตัดสินผู้ชนะ ฝ่ายที่ได้จำนวนเซตมากกว่าก็จะเป็นผู้ชนะตัวเลขเหล่านี้เองที่เหล่านัก<พนันบอลทั้งหลายชื่นชอบนัก แต่นี่คงต้องเปลี่ยนวิธีการเรียกจากนักพนันบอลเป็นนักพนันเทนนิสแทนล่ะมั้ง พื้นฐานการฝึกตีเทนนิส สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มหัดเล่นกีฬาเทนนิส ควรเริ่มจากการฝึกจับไม้ให้ถูกวิธีก่อน ซึ่งก็เหมือนกับการตีปิงปองนี่ล่ะ คือ มีการตีแบบโฟร์แฮนด์กับแบ็คแฮนด์ จะต้องฝึกหัดตีท่าพื้นฐานนี้ในอากาศไปเรื่อยๆ จนกว่าจะทำท่าได้อย่างถูกต้อง จากนั้นก็ฝึกตีลูก และฝึกเสิร์ฟลูกตามลำดับ เมื่อทุกอย่างทำได้คล่องแล้ว ก็พร้อมลงสนามแข่งกับเพื่อนได้เลย ไม้เทนนิส อุปกรณ์สำคัญของนักกีฬาเทนนิส ฉะนั้นจึงต้องคอยหมั่นดูแลรักษาไม้เทนนิสให้มีสภาพดีพร้อมใช้งานอยู่เสมอ วิธีการดูแลไม้เทนนิสก็ไม่ยากเลย ควรเช็ดไม้เทนนิสด้วยผ้าหมาดๆ อยู่เสมอ ระวังอย่าเช็ดบริเวณเส้นเอ็น เพราะจะทำให้ไม้จะเสื่อมสภาพเร็ว คอยดูแลเปลี่ยนผ้าจับไม้ไม่ให้ขึ้นรา ควรนำไปซักบ้างเมื่อเริ่มมีกลิ่นเหม็น ไม่ควรเอาไม้เทนนิสไปเคาะเน็ทบ่อยๆ เพราะจะทำให้ไม้เทนนิสเกิดรอยแตกร้าวและเสียหายได้ ไม่ควรให้ไม้เทนนิสและลูกเทนนิสโดนน้ำ เพราะจะทำให้เสียไวได้ สำหรับกีฬาประเภทใดก็ตาม จะต้องใช้รองเท้าที่เหมาะกับการเล่นกีฬาประเภทนั้นๆ กีฬาเทนนิสก็เช่นกัน จะต้องใส่รองเท้าเทนนิสโดยเฉพาะ เพราะรองเท้าเทนนิสจะมีพื้นสัมผัสที่เหนียวหนึบกับพื้น เวลาวิ่งรับลูกก็จะไม่ลื่น ในขณะที่กำลังเล่นกีฬาเทนนิสควรมีสติและสมาธิอยู่เสมอ เพราะหากเหม่อลอยอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ กีฬาปิงปอง เทเบิลเทนนิส เป็นกีฬาที่เล่นโดยใช้อุปกรณ์การเล่นเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น จะมีเพียงแค่โต๊ะปิงปอง ตาข่ายกั้นระหว่างสองฝั่งของโต๊ะ ไม้ตีปิงปอง และอุปกรณ์ที่สำคัญ ถ้าขาดอุปกรณ์นี้คงเล่นกีฬาชนิดนี้ไม่ได้แน่ๆ นั่นก็คือลูกปิงปองนั่นเอง ในการเล่นกีฬาปิงปอง ผู้เล่นจะต้องยืนคนละฝั่งของโต๊ะปิงปองแล้วตีลูกปิงปองโต้กันไปมาโดยมีกติกาการเล่น คือ ลูกปิงปองจะต้องตกกระทบลงบนพื้นโต๊ะฝั่งตนเองได้เพียงหนึ่งครั้งแล้วจึงตีโต้กลับไป แล้วหากฝ่ายตรงข้ามรับลูกปิงปองที่เด้งตกกระทบพื้นโต๊ะฝั่งของตนเองไม่ได้ก็จะเป็นฝ่ายแพ้ ผู้แพ้จะต้องเสียคะแนนให้ฝั่งตรงข้ามไปในสุด กีฬาปิงปอง เป็นกีฬาที่คนในแถบเอเชียตะวันออกนิยมเล่นกันมากกว่าคนในแถบอื่นๆ ทั้งประเทศจีน ฮ่องกง ไต้หวัน มาเก๊า ญี่ปุ่น เกาหลี และประเทศไทยก็นิยมเล่นกีฬาชนิดนี้กันโดยมาก ความนิยมของกีฬาปิงปองจึงทำให้ถูกบรรจุเข้าไปในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกอีกด้วย ซึ่งมีผู้เล่นสองคนที่เล่นตีโต้กันไปมา หรืออาจจะมีผู้เล่นได้สูงสุดถึงสี่คน คือฝั่งละสองคน เล่นกันเป็นทีม ลักษณะและวิธีการเล่นมีความคล้ายคลึงกับกีฬาเทนนิส แต่อาจจะมีกฎกติกาที่แตกต่างกัน ผู้เล่นอาจมีเทคนิคการเล่นที่แตกต่างกันตามความถนัดของแต่ละบุคคล บางคนอาจมีเทคนิคการตีลูกปิงปองแบบที่ให้ลูกปิงปองหมุน เรียกกันว่า ลูกสปิน บางคนอาจใช้เทคนิคการใช้ลูกหยอด หรือใช้ลูกเร็ว ซึ่งเทคนิคเหล่านี้จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามรับลูกได้ยากยิ่งขึ้น ดังนั้นกีฬาชนิดนี้จึงเป็นกีฬาที่ไม่ต้องใช้พื้นที่และอุปกรณ์มาก ใช้พื้นที่เพียงบริเวณโต๊ะและรอบๆ โต๊ะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แข่งกันด้วยเทคนิคการตีลูกปิงปอง ต้องใช้ไหวพริบปฏิภาณ และใช้ความว่องไวในการรับลูกปิงปอง ประวัติที่มาของกีฬาปิงปอง ยังไม่มีหลักฐานปรากฏที่แน่ชัด บ้างก็อ้างว่ารัสเซียเป็นผู้คิดค้นกีฬาชนิดนี้ขึ้นมา บ้างก็อ้างว่าอังกฤษเป็นผู้คิดค้นแต่ได้มีผู้สันนิษฐานถึงที่มาว่ากำเนิดมาจากกีฬา 2 ชนิดคือ 1. กีฬาในร่มของเทนนิส ซึ่งเริ่มเล่นครั้งแรกในรัฐแมสซาชูเซตส์ ราวศตวรรษที่ 19 ( พ.ศ. 2433) 2. สันนิษฐานว่าในสมัย พ.ศ. 2393 ทหารอังกฤษได้คิดค้นวิธีการละเล่นชนิดหนึ่งขึ้นมา โดยจะใช้ลูกบอลที่ทำมาจากไม้ก๊อกหรือยางแข็ง แล้วนำเอาไม้กระดานมาแบ่งกั้นแทนตาข่ายกั้นระหว่างสองฝั่ง เพื่อตีลูกบอลโต้กันไปมา แล้วดูผลบอลผลบอล บางท่านได้สันนิษฐานว่า กีฬาปิงปองอาจมีที่มาจากกีฬาเทนนิส โดยพัฒนามาเรื่อยจนกลายเป็นกีฬาปิงปองในปัจจุบัน จึงทำให้ได้ชื่อของกีฬาชนิดนี้ว่า กีฬาเทเบิลเทนนิส นั่นเองวิธีการเล่นกีฬาปิงปองกีฬาปิงปองเป็นกีฬาที่มีความยากในการเล่น เพราะด้วยพื้นที่จำกัดเพียงแค่โต๊ะปิงปองสี่เหลี่ยมพื้นผ้าเท่านั้น ลูกปิงปองยังมีน้ำหนักเบาและเด้งไปมาด้วยความรวดเร็ว ผู้เล่นจะต้องใช้ความว่องไวเพื่อรับลูกปิงปองให้ทันท่วงที เทคนิควิธีที่ต้องใช้ในการเล่นกีฬาชนิดนี้ อาจต้องใช้ทุกๆ ส่วนของร่างกายร่วมกันทั้งหมด ซึ่งส่วนต่างๆ ที่ต้องใช้ มีดังนี้สายตา ในขณะที่เล่นกีฬาปิงปอง จะต้องใช้สายตาเพื่อจับจ้องมองลูกอยู่ตลอดเวลา และคอยสังเกตหน้าไม้ของคู่ต่อสู้อีกด้วยว่า เขาจะตีลูกให้หมุนในลักษณะใดมาหาเราเพื่อตั้งรับได้ทันท่วงที และใช้สายตาคอยดูผลบอลด้วยสมองปิงปองเป็นกีฬาที่ต้องใช้สมองในการคิดวิเคราะห์อยู่ตลอดเวลา รวมถึงต้องใช้สมองเพื่อวางแผนการเล่นอีกด้วย ng>มือที่ใช้จับไม้ปิงปอง จะต้องคล่องแคล่วและว่องไว และสามารถรู้สึกได้เมื่อลูกปิงปองสัมผัสถูกหน้าไม้ ในการตีให้ลูกปิงปองหมุนมากขึ้นจะมีเทคนิควิธีทำโดยใช้แรงจากข้อมือนั่นเอง ในบางจังหวะของการตีลูกปิงปอง จะต้องใช้ลำตัวช่วยด้วยเหมือนกัน ต้นขาเนื่องจากกีฬาปิงปองเป็นกีฬาที่ต้องใช้ความว่องไว ต้นขาจึงต้องแข็งแรง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนที่ตลอดเวลา หัวเข่าสำหรับอวัยวะเข่านั้น จะใช้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนที่ เท้าเท้าเป็นสิ่งสำคัญต่อการเคลื่อนที่ ในการเคลื่อนที่เข้าหาลูกปิงปองตลอดเวลา เพื่อตามตีลูกปิงปองให้ทัน
จะเห็นได้ว่า กีฬาปิงปองจะใช้ร่างกายแทบทุกส่วน ทำให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวและได้ออกกำลังอย่างเต็มที่ เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพอย่างหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะได้ออกกำลังกายแล้ว ยังสร้างความสนุกสนานให้กับทุกคนอีกด้วย


  • DATE

วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อาการเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างปวดศีรษะ ปวดท้อง เจ็บคอ ไอ น้ำร้อนลวก มดกัด ยุงกัด ท้องเสีย ท้องอืด ฯลฯ หลายคนมักจะเลือกใช้ยาแผนปัจจุบัน โดยคิดว่าเป็นวิธีที่รวดเร็วทันใจดี แต่ลองชะเง้อมองซิว่า รอบ ๆ บ้านมีพืชสมุนไพรไทยอะไรปลูกอยู่หรือเปล่า เพราะพืชสมุนไพรเหล่านี้สามารถนำมาใช้รักษาอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ ได้ผลชะงัดนักแล แถมบางชนิดยังสามารถรักษาโรคยอดฮิต อย่าง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคมะเร็งได้ด้วย มาดูสมุนไพรไทย ที่คนรู้จักดี เเละจะมาบอกเล่าเก้าสิบถึงสรรพคุณของมันให้ฟังกัน

1.ว่านหางจระเข้

ไม้ล้มลุกใบใหญ่หนาที่ทุกคนรู้จักกันดี แม้ถิ่นกำเนิดจะอยู่ไกลถึงฝั่งเมดิเตอร์เรเนียน และแอฟริกา แต่ในประเทศไทยก็มีการปลูกว่านหางจระเข้อย่างแพร่หลาย ซึ่งในตำรับยาไทยก็ใช้ว่านหางจระเข้บำบัดอาการต่าง ๆ ได้มากมาย จนเป็นที่รู้จักว่า เป็นพืชอัศจรรย์ที่มีสรรพคุณสารพัดประโยชน์
โดย “วุ้นในใบสด” สามารถนำมาบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ แต่สรรพคุณเด่น ๆ ที่ทุกคนน่าจะรู้จักก็คือ นำมาพอกแผลน้ำร้อนลวก ไฟไหม้ แก้ปวดแสบปวดร้อน แผลเรื้อรัง รักษาผิวที่ถูกแดดเผา แผลในกระเพาะอาหาร และช่วยถอนพิษได้ เพราะว่านหางจระเข้มีสรรพคุณช่วยสมานแผล แต่มีข้อแนะนำว่า ก่อนใช้ควรทดสอบดูก่อนว่าแพ้หรือไม่ โดยเอาวุ้นทาบริเวณท้องแขนด้านใน ถ้าผิวไม่คันหรือแดงก็ใช้ได้ นอกจากส่วนวุ้นในใบสดแล้ว ส่วน “ยางในใบ” ก็สามารถนำมาทำเป็นยาระบายได้ และส่วน “เหง้า” ก็นำไปต้มน้ำรับประทาน แก้โรคหนองในได้ด้วย
2.ขมิ้นชัน

เรียกกันทั่วไปว่า “ขมิ้น” เป็นไม้ล้มลุกมีสีเหลืองอมส้ม มีเหง้าอยู่ใต้ดิน มีกลิ่นหอม คนนิยมนำ”เหง้า” ทั้งสดและแห้งมาใช้รักษาอาการที่เกี่ยวกับกระเพาะอาหาร รวมทั้งแก้ท้องเสีย ท้องร่วง จุกเสียดแน่นท้อง และสามารถนำขมิ้นชันมาทาภายนอก เพื่อใช้รักษาแผลเรื้อรัง แผลสด โรคผิวหนัง พุพอง รักษาชันนะตุได้ด้วย
นอกจากนั้น “ขมิ้นชัน” ยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระ”คูเคอร์มิน” ที่ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งตับ อีกทั้งยังสร้างภูมิคุ้มกันให้ผิวหนัง หรือใครที่มีแผลอักเสบ “ขมิ้นชัน” ก็มีสรรพคุณช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น เพราะมีฤทธิ์ไปลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง และหากรับประทานขมิ้นชันทุกวัน ตามเวลาจะช่วยให้ความจำดีขึ้น ไม่อ่อนเพลียยามตื่นนอน และช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นด้วย
2.ทองพันชั่ง

เป็นสมุนไพรที่มีคุณค่าไม่ต่างไปจากชื่อ “ทองพันชั่ง” หลายพื้นที่อาจเรียกว่า “ทองคันชั่ง” หรือ “หญ้ามันไก่” เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ออกดอกสีขาว ส่วนที่ใช้ทำยาคือ ใบและราก ที่หากนำปริมาณ 1 กำมือมาต้มรับประทานเช้าเย็น จะช่วยดับพิษไข้ รักษาโรคผิวหนัง ริดสีดวงทวารหนัก แก้ไอเป็นเลือด ฆ่าพยาธิ นอกจากนั้น ยังสามารถนำใบและรากมาตำละเอียด เพื่อรักษาโรคกลาก เกลื้อน ได้ด้วย
นอกจากสรรพคุณข้างต้นแล้ว มีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมพบว่า “ทองพันชั่ง” มีฤทธิ์ยับยั้งมะเร็งเยื่อบุช่องปาก มะเร็งเต้านม และมะเร็งมดลูกได้ รวมทั้งช่วยขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิตสูง แก้ผมร่วง รักษาโรคนิ่ว ฯลฯ แต่ข้อควรระวังคือ ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง โรคหัวใจ โรคหืด โรคความดันโลหิตต่ำ โรคมะเร็งในเม็ดเลือด ไม่ควรรับประทาน
3.กระเพรา

แม้จะเป็นผักที่คนไทยนิยมสั่งมารับประทานเวลาที่นึกไม่ออก แต่ก็มีน้อยคนที่จะรู้ว่า กะเพรา มีสรรพคุณอะไรบ้าง ที่เห็นชัด ๆ เลยก็คือ ใบกะเพรา มีฤทธิ์ขับลม ช่วยแก้จุดเสียด แน่นท้อง แก้ปวดท้องอุจจาระ ส่วนน้ำสกัดทั้งต้น สามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหาร สำหรับเมล็ดกะเพรา ก็สามารถพอกตาให้ผงหรือฝุ่นที่เข้าตาหลุดออกมาได้อย่างง่ายดาย นอกจากนั้นแล้ว รากกะเพราแห้ง ๆ ยังนำมาชงกับน้ำร้อนดื่มแก้โรคธาตุพิการได้ด้วย
และสรรพคุณเด็ดของกะเพราอีกประการก็คือ ช่วยขับไขมันและน้ำตาล เคยสงสัยบ้างไหมล่ะ ทำไมอาหารตามสั่งต้องมีเมนูผัดกะเพราเนื้อ กะเพราไก่ กะเพราหมู นั่นก็เพราะนอกจากใบกะเพราจะช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ได้แล้ว ยังมีฤทธิ์ขับไขมัน และน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย อีกทั้ง กะเพราจะช่วยขับน้ำดีในตับออกมาให้ช่วยย่อยไขมันได้ดีขึ้นด้วย เพราะฉะนั้น หากบอกว่า รับประทานกะเพราแล้วจะช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจ ก็คงไม่ผิดนัก
4.กระชายดำ

สมุนไพรแสนมหัศจรรย์ของท่านชาย เพราะสรรพคุณของกระชายดำที่ได้รับการกล่าวขานกันมากก็คือ สรรพคุณเพิ่มพลังทางเพศ หรือแก้โรคกามตายด้าน เนื่องจากฤทธิ์ของกระชายดำจะไปบำรุงกำลัง เพิ่มฮอร์โมนให้หนุ่ม ๆ ทำให้สมรรถภาพทางเพศเพิ่มขึ้น
แต่ใช่ว่า กระชายดำ จะมีประโยชน์แค่เรื่องเพิ่มพลังทางเพศเท่านั้นนะ เพราะกระชายดำยังสรรพคุณมากมาย ทั้งบำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง เป็นยาเจริญอาหาร และบำรุงธาตุ แก้หัวใจสั่นหวิว แก้ลมวิงเวียนแน่นหน้าอก แผลในปาก ช่วยให้โลหิตหมุนเวียนดีขึ้น ผิวพรรณผ่องใส ขับปัสสาวะ แก้โรคกระเพาะ ฯลฯ และด้วยสรรพคุณอันแสนมหัศจรรย์มากมายขนาดนี้ กระชายดำ เลยถูกขนานนามว่าเป็น “โสมไทย” ซึ่งนิยมปลูกมากจนกลายเป็นพืชเศรษฐกิจของจังหวัดเลยทีเดียว
5.ว่านชักมดลูก

มาที่พืชสมุนไพรสำหรับสาว ๆ กันบ้าง แค่ชื่อก็บอกอยู่แล้ว เหมาะกับคุณสุภาพสตรีเป็นที่สุด เพราะเหง้าของว่านชักมดลูกมีสรรพคุณช่วยขับประจำเดือนในสตรีที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ ส่วนผู้หญิงที่เพิ่งคลอดบุตร ว่านชักมดลูกก็จะช่วยบีบมดลูกให้เข้าอู่เร็วขึ้น ขับน้ำคาวปลา และรักษาโรคมดลูกพิการปวดบวมได้
นอกจากนั้น ว่านชักมดลูก ยังแก้ริดสีดวงทวาร แก้ไส้เลื่อน แก้โรคลม รักษาอาการอาหารไม่ย่อย ขณะที่รากของว่านชักมดลูกสามารถใช้แก้ท้องอืดเฟ้อได้อีกต่างหาก
7.กระเจี๊ยบแดง

หลายคนนำใบและยอดของกระเจี๊ยบแดงไปใส่ในแกง ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มรสเปรี้ยวในอาหารแล้ว ใบกระเจี๊ยบแดงยังแก้โรคพยาธิตัวจี๊ด แก้ไอ ละลายเสมหะ ส่วนดอกใช้แก้โรคนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ขัดเบา ละลายไขมันในเส้นเลือด
แต่ส่วนที่มีสรรพคุณมากเป็นพิเศษก็คือ ส่วนกลีบเลี้ยงของดอก หรือกลีบที่เหลืออยู่ที่ผล สามารถช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ลดน้ำหนัก ลดความดันโลหิต นำไปทำเป็นน้ำกระเจี๊ยบดื่มช่วยให้ร่างกายสดชื่น ลดความเหนียวข้นของเลือด ขับปัสสาวะ ป้องกันต่อมลูกหมากโตให้คุณผู้ชายได้ด้วย และมีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า หากรับประทานกระเจี๊ยบแดงต่อเนื่อง 1 เดือน จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ระดับไขมันในเลือด ทั้งคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ ไขมันเลว (LDL) ลดลง และยังเพิ่มไขมันชนิดดีคือ HDL ได้ด้วย
8.มะขามป้อม

เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก-กลางที่จัดเป็นยาอายุวัฒนะ เพราะมีสรรพคุณเพียบในแทบทุกส่วนของต้น แต่ที่รู้จักกันดีก็คือ ผลของมะขามป้อมจะมีรสเปรี้ยวมาก ๆ แต่ก็ชุ่มคอ และให้วิตามินซีสูงมากเช่นกัน ดังนั้น จึงมีคนนำผลมะขามป้อมสดมาใช้เป็นยาแก้หวัด แก้ไอ ละลายเสมหะ รักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
นอกจากนั้นแล้ว ส่วน “ราก” ยังแก้พิษตะขาบกัด แก้ร้อนใน ลดความดันโลหิต แก้โรคเรื้อน ส่วนเปลือก แก้โรคบิด และฟกช้ำ ส่วนปมก้าน ใช้เป็นน้ำยาบ้วนปาก แก้ปวดฟัน “ผลแห้ง” ใช้รักษาอาการท้องเสียง หนองใน เยื่อบุตาอักเสบ แก้ตกเลือด และส่วน “เมล็ด” ก็สามารถนำไปเผาไฟผสมกับน้ำมันพืช ทาแก้คัน แก้หืด หรือจะตำเมล็ดให้เป็นผง ชงกับน้ำร้อนดื่มแก้โรคเบาหวาน หอบหืด หลอดลมอักเสบก็ได้
9.ฟ้าทะลายโจร

ฟ้าทะลายโจร เป็นไม้ล้มลุก สูงประมาณ 30-70 เซนติเมตร ทุกส่วนมีรสขม สรรพคุณเด่น ๆ ที่ทุกคนรู้จักกันดีก็คือ ใช้เป็นยาแก้ไข้ แก้ไข้หวัดใหญ่ แก้ร้อนใน เพราะมีฤทธิ์ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย หากรับประทานบ่อย ๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นหวัดง่าย นอกจากเรื่องหวัดแล้ว ฟ้าทะลายโจรยังระงับอาการอักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ ขับเสมหะ รักษาอาการท้องเสีย ลำไส้อักเสบ รักษาโรคตับ เบาหวาน โรคงูสวัด ริดสีดวงทวาร และรสขมของฟ้าทะลายโจรยังช่วยให้เจริญอาหารอีกด้วย
ข้อควรระวัง ก็คือ คนที่มีอาการเจ็บคอเนื่องจากติดเชื้อ Streptococcus group A , ผู้ที่เป็นโรคหัวใจรูห์มาติค , มีอาการเจ็บคอ เนื่องจากมีการติดเชื้อแบคทีเรีย, เป็นความดันต่ำ และสตรีมีครรภ์ ไม่ควรทานฟ้าทะลายโจร  และหากใครทานแล้วเกิดปวดท้อง ปวดเอว วิงเวียนศีรษะ ใจสั่น ควรหยุดใช้ฟ้าทะลายโจร นอกจากนั้นแล้ว ยังไม่ควรรับประทานต่อเนื่องนานเกินไป เพราะอาจทำให้แขนขามีอาการชา หรืออ่อนแรงได้
10.บอระเพ็ด

มื่อเอ่ยชื่อ “บอระเพ็ด” หลายคนคงรู้สึก “ขม” ขึ้นมาทันที แต่เพราะความที่เจ้าบอระเพ็ดมีรสขมนี่ล่ะ ถึงทำให้ตัวมันเต็มเปี่ยมไปด้วยสรรพคุณทางยามากมาย ดังสำนวนที่ว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา”
อย่างเช่น “ราก” สามารถนำไปดับพิษร้อน แก้ไข้พิษ ไข้จับสั่น ช่วยให้เจริญอาหาร “ต้น” ก็ช่วยแก้ไข้ได้เช่นกัน และยังช่วยบำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ร้อนใน แก้สะอึก แก้เลือดพิการ ส่วน “ใบ”นอกจากจะช่วยแก้ไข้ได้เหมือนส่วนอื่น ๆ แล้ว ยังช่วยแก้โลหิตคั่งในสมอง ขับพยาธิ แก้ปวดฝี ช่วยลดความร้อน ทำให้ผิวพรรณผ่องใส รักษาโรคผิวหนัง ผดผื่นคันตามร่างกาย
มาถึง “ดอก” ช่วยฆ่าพยาธิในท้อง ในฟัน ในหู “ผล” ใช้แก้เสมหะเป็นพิษ แก้สะอึกได้ดี แต่ถ้านำทั้ง 5 ส่วน คือ ราก ต้น ใบ ดอก ผล มารวมกัน “บอระเพ็ด” จะกลายเป็นยาอายุวัฒนะเลยทีเดียว เพราะแก้อาการได้สารพัดโรค รวมทั้งโรคริดสีดวงทวาร ฝีในมดลูก เบาหวาน ฯลฯ